TH8129B - วัสดุประกอบแต่งและวิธีการผลิตวัสดุนั้น - Google Patents

Abstract

เป็นวัสดุประกอบแต่งที่ปรับปรุงให้ดีขึ้นโดยการผสมยิปซัมและอนุภาคถูกอาศัยที่เป็นสารที่แข็งแรงกว่าเช่น ใยไม้ ในสเลอร์รีเจือจาง การทำให้สเลอร์รีร้อนภายใต้ความดันเพื่อเปลี่ยนซิปไปเป็นแคลเซียมซัลเฟตแอลฟาเฮมิไฮเดรดและการกำจัดน้ำส่วนใหญ่ออกจากสเลอร์รีร้อนก่อนทำการไฮเดรดซ้ำ เฮมิไฮเดรดกลับไปเป็นยิปซัมวัสดุที่ได้เป็นมวลเนื้อเดียวกันประกอบด้วยผลึกยิปซัมที่ประสานกันเชิงฟิสิกส์กับพวกอนุภาคถูกอาศัยเดี่ยว ตามอีกลักษณะหนึ่งของการประดิษฐ์เป็นแผ่นกั้นผนังที่ปรับปรุงให้ดีขึ้นที่มีความต้านทานไฟ, เสถียรภาพเชิงมิติ และมีสมบัติความแข็งแรงที่ดีมากซึ่งผลิตขึ้น โดยทำการอัดแน่นมวลประกอบแต่งก่อนทำการไฮเดรดให้คงรูปสุดท้าย

Claims (9)

1. วัสดุประกอบแต่งซึ่งประกอบด้วยอนุภาคถูกอาศัยเป็นวัสดุที่ไม่ใช่ยิปซัมและมีช่องว่างบนพื้นผิว และ/หรือ ภายในส่วนของลำตัวของอนุภาคถูกอาศัย:และประกอบด้วยผลึกแคลเซียมซัลเฟต อัลฟาเฮมิไฮเดรต โดยที่ผลึกอย่างน้อยบางส่วนเกิดขึ้น ณ ที่เดิมในและรอบ ๆช่องว่างในอนุภาคถูกอาศัย ซึ่งดังนั้นจะเกิดเป็นเมทริกซ์ผลึกของแคลเซียมซัลเฟตที่ประสานกันเชิงฟิสิกส์กับอนุภาคถูกอาศัย

2. วัสดุประกอบแต่งซึ่งประกอบด้วยอนุภาคถูกอาศัยเป็นวัสดุที่ไม่ใช่ยิปซัมและมีช่องว่างบนพื้นผิว และ/หรือ ภายในส่วนของลำตัวของอนุภาคถูกอาศัย:และประกอบด้วยผลึกแคลเซียมซัลเฟตไดไฮเดรต โดยที่ผลึกอย่างน้อยบางส่วนเกิดขึ้น ณ ที่เดิมในและรอบ ๆช่องว่างในอนุภาคถูกอาศัย ซึ่งดังนั้นจะเกิดเป็นเมทริกซ์ผลึกของแคลเซียมซัลเฟตที่ประสานกันเชิงฟิสิกส์กับอนุภาคถูกอาศัย

3. วัสดุประกอบแต่งตามข้อถือสิทธิที่ 1 หรือ 2 โดยที่อนุภาคถูกอาศัยนั้นอยู่ในรูปเป็นพิเศษ เกล็ด หรือ เส้นใยโดยสารที่นิยมคือ สารลิกโน-เซลลูโลส เช่น ใยไม้

4. วัสดุประกอบแต่งตามข้อถือสิทธิข้อใดข้อหนึ่งก่อนหน้านี้ โดยที่ผลึกแคลเซียมซัลเฟตประกอบด้วยผลึกรูปเข็ม

5. วัสดุประกอบแต่งตามข้อถือสิทธิข้อใดข้อหนึ่งก่อนหน้านี้ โดยที่อนุภาคถูกอาศัยประกอบด้วย วัสดุประกอบแต่งประมาณ 0.5% ถึง 30% โดยน้ำหนัก

6. แผ่นกั้นผนังประกอบแต่งยิบซัม/ใยไม้ ที่ประกอบด้วยมวลอัดแน่นของอนุภาคประกอบที่พัวพันกัน โดยที่อนุภาคประกอบแต่ละอันประกอบด้วยใยไม้ถูกอาศัย และยิปซัมในรูปของผลึอัลพาเฮมิไฮเดรตรูบเข็มที่ถูกไฮเดรตซ้ำ ดดยเกิดขึ้นใน,บน และรอบ ๆ ช่องว่างบนพื้นผิวของใยไม้หรือภายในลำตัวของใยไม้เพื่อที่จะประสารกันเชิงฟิสิกส์

7. แผ่นกั้นผนังประกอบแต่งยิปซัม/ใบไม้ ตามข้อถือสิทธิที่ 6 โดยที่มวลอัดแน่นมีความหนาแน่นอยู่ในช่วง 40-50 ปอนด์ต่อ ลบ.ฟุต (642-802 กิโลกรัม/ลบ.ม.)

8. แผ่นกั้นผนังประกอบแต่งยิบซัม/ใบไม้ ตามข้อถือสิทธิที่ 7 ซึ่งประกอบด้วยใยไม้ประมาณ 10-20% โดยน้ำหนัก

9. วิธีการผลิตวัสดุประกอบแต่งซึ่งครอบคลุมขั้นตอนการแคลไซน์ยิปซัมภายใต้ความร้อนและความดันในตัวกลางที่เป็นของเหลว ซึ่งช่วยเกื้อหนุนต่อการเติบโตของผลึกแคลเซียมซัลเฟตอัลพาเฮมิไฮเดรตรูปเข็ม และยังครบอคลุมอนุภาคถุกอาศัยจำนวนมากที่แขวนลอยอยู่ในตัวกลางดังกล่าวและอนุภาคถูกอาศัยแต่ละอันจะมีช่วงว่างอยู่บนพื้นผิวหรือภายในลำตัวของอนุภาคถูกอาศัยที่สามารถให้ตัวกลางของเหลวดังกล่าวแทรดซึมผ่านได้ 1

0. กรรมวิธีสำหรับการผลิตวัสดุประกอบแต่งซึ่งประกอบด้วย การผสมยิบซัมบดกับอนุภาคถูกอาศัยที่เป้นสารที่แข็งแรงกว่าและของเหลวในปริมาณเพียงพอที่จะทำให้เกิดสเลอร์รีเจือจางที่ประกอบด้วยของเหลวอย่างน้อยประมาณ 70% โดยน้ำหนัก : การแคลไซน์ยิปซัมโดยมีอนุภาคถูกอาศัยรวมอยุ่ด้วย โดยทำให้สเลอร์รีเจือจางร้อนภายใต้ความดันเพื่อทำให้เป็นผลึกแคลเซียมซัลเฟตอัลฟาเฮมิไฮเดรตรูปเข็ม; และการแยกของเหลวส่วนใหญ่ออกจากยิปซัมที่แคลไซน์แล้ว และอนุภาคถูกอาศัยก่อนทำการไฮเดรตซ้ำเมิไฮเดรตกลับไปเป็นยิปซัม 1

1. กรรมวิธีสำหรับการผลิตวัสดุประกอบแต่งตามข้อถือสิทธิที่ 10 ซึ่งยังครอบคลุมการกวนสเลอร์รีอย่างต่อเนื่องในขณะที่ยิปซัมถูกแคลไซน์อยู่ และขณะที่ผลึกเฮมิไฮเดรตกำลังเกิดและมักนิยมทำการกวนอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สเลอร์รีถูกทำให้ร้อนภายใต้ความดันและกวนไปจนกระทั่งการแคลไซน์ของยิบซัมโดยส่วนใหญ่เสร็มสมบูรณ์ 1

2. กรรมวิธีสำหรับการผลิตวัสดุประกอบแต่งซึ่งประกอบด้วยการผสมยิปซับบดและอนุภาคถูกอาศัยจำนวนมากเข้าด้วยกันด้วยน้ำ ในปริมาณ พอเพียงที่จะทำให้เกิดสเอลร์รีอนุภาคถูกอาศัยดังกล่าวโดยั้วไปไม่ละลายในน้ำดังกล่าว แต่มีช่องว่างบนพื้นผิวและ/หรือภายในลำตัวของอนุภาคถูกอาศัยที่สามารถแทรกซึมผ่านได้ โดยของเหลวสเอร์รีที่มียิบซัมแขวนลอย และ/หรือละลายตัวอยู่ และสเลอร์รีดังกล่าว เจือจางเพียงพอที่จะทำให้ช่องว่างในอนุภาคถูกอาศัยดังกล่าวเปียกด้วยของเหลวสเลอร์รี และเกื้อหนุนต่อการเติบโตของผลึกแคลเซียมซัลเฟตอัลฟา เฮมิไฮเดรตรูปเข็มเมื่อถูกทำให้ร้อนภายใต้ความดัน; การทำให้สเลอร์รีร้อนภายใต้ความดันถึงอุณหภูมิเพียงพอที่จะแคลไซน์ยิปซัมไปเป็นแคลเซียม ซัลเฟตอัลฟาเฮมิไฮเดรต; การรักษาสภาพของสเลอร์รีให้ถูกทำให้ร้อนภายใต้ความดันในขณะที่ปล่อยให้โมเลกุลของแคลเซียมซัลเฟตแยกเป็นิวเคลียส และเกิดเป็นผลึก ณ ที่เติม ในและรอบ ๆ ช่องว่างในอนุภาคถูกอาศัย;การคลายความดันและแยกน้ำออกจาสเลอร์รีร้อน; และการกรอบแห้งของแข็งที่ขจัดน้ำแล้วเพื่อกำจัดน้ำอิสระที่เหลือทั้งหมดออกไปเป็นส่วนใหญ่ ในชขณะที่ผลึกแคลเซียมซัลเฟตยังคงประสานกันเชิงฟิสิกส์กับอนุภาคถูกอาศัย 1

3. กรรมวิธีสำหรับการผลิตวัสดุประกอบแต่งตามข้อถือสิทธิที่ 12 ซึ่งยังครอบคลุมเพิ่มเติมในการรักษาอุณหภูมของสเลอร์รีและของแข็งที่ขจัดน้ำแล้วไว้ที่อุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิที่แคลเซียมซัลเฟตเฮมิไฮเดรต จะไฮเดรตซ้ำไปเป็นแคลเซียมซัลเฟตไดไฮเรตจนกว่าน้ำอิสระที่เกินทั้งหมดจะถูกกำจัดออกไปโดยการกำจัดน้ำและการอบแห้งโดยมักนิยมรักษาอุณหภูมิของสเลอร์รีไว้ประมาณสูงก่า 200 องศา ฟ (93 องศาซ.) จนกระทั่งสเลอร์รีส่วนใหญ่ถูกกำจัดน้ำออกและถูกทำให้แห้ง 1

4. กรรมวิธีตามข้อถือสิทธิที่ 12 ซึ่งยังครอบคลุมเพิ่มเติมขั้นตอนของการทำให้ของแข็งที่ขจัดน้ำแล้วเย็นตัวที่อุณหภูมิที่ต่ำกว่าอุณหภูมที่ผลึกแคล เซียมซัลเฟตเฮมิไฮเดรตจะไฮเดรตซ้ำไปเป็นแคลเซียมซัลเฟตไดไฮเดรต และปล่อยให้การไฮเดรตซ้ำดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนทำการอบแห้งมวลขจัดน้ำแล้ว เพื่อกำจัดน้ำอิสระส่วนเกินที่เหลือ 1

5. กรรมวิธีตามข้อถือสิทธิที่ 12 ซึ่งยังครอบคลุมเพิ่มเติมขั้นตอนของการกำจัดน้ำออกจากสเลอร์รีร้อนเพื่อทำเป็นเค้กกรอง จากนั้น ทำการอัดเปียกเค้กกรองและปล่อยให้อุณหภูมิของเค้กกรองลดลงให้ต่ำกว่าอุณหภูมิที่แคลเซียมเฟตเฮมิไฮเดรตจะไฮเดรตซ้ำไปเป็นผลึกยิปซัมก่อนทำการอบแห้ง เค้กกรอง 1

6. กรรมวิธีตามข้อถือสิทธิที่ 12 ซึ่งยังประกอบครอบคลุมเพิ่มเติมขั้นตอนขึ้นรูปแผ่นจากสเลอร์รีร้อน และหลังจากนั้นกำจัดน้ำส่วนใหญ่ออกจาแผ่น ทำการอัดเปียกแผ่นเพื่ออัดแน่นวัสดุให้มีความหนาน้อยลง และ/หรือ ความหนาแน่นเพิ่มขึ้น ทั้งนี้มักนิยมให้ครอบคลุมเพิ่มเติมการปล่อยให้อุณหภูมิของวัสดุอัดแน่นลดลงต่ำกว่าอุณหภูมิที่แคลเซียมซํลเฟตจะไฮเดรตซ้ำไปเป็นยิปซัม และปล่อยารไฮเดรชันดังกล่าวให้ดำเนินไปจนกว่าผลึกยิปซัมที่ประสารกันเชิงฟิสิกส์กับอนุภาคถูกอาศัยจะเชื่อมต่อกับผลึกที่เหมือนกันเพื่อทำเป็นมวลชิ้นเดียวที่มีเนื้อเดียวกัน และจากนั้นทำการอบแห้งมวลเพื่อกำจัดน้ำอิสระที่เหลือออกไป 1

7. กรรมวิธีการผลิตแผ่นวัสดุประกอบแต่งซึ่งประกอบด้วยการผสมยิปซัมบดและอนุภาคถูกอาศัยเข้าด้วยกันด้วยน้ำ ในปริมาณพอเพียงที่จะทำให้เกิดสเลอร์รี อนุภาคถูกอาศัยดังกล่าวแต่ละอันจะมีช่องว่างอยุ่บนพื้นผิวหรือภายในลำตัวของอนุภาคซึ่งของเหลวสเลอร์รีที่ประกอบด้วยยิปซัมที่แขวนลอย และ/หรือ ยิปซัมที่ละลายอยุ่สามารถแทรกซึมผ่านได้และสเอลร์รีดังกล่าว เจือจางเพียงพอที่จะเปียกทั่วช่องว่างที่แทรกซึมผ่านส่วนใหญ่ในอนุถูกอาศัย และเพื่อเกื้อหนุนการเกิดผลึกแคลเซียมซัลเฟตอัลฟาเฮมิไฮเดรต เมื่อถูกทำให้ร้อนภายใต้ความดัน ; การทำให้สเลอร์รีร้อนภายในภาชนะอัดไอดดยทำ การกวนอย่างต่อเนื่องให้มีอุณหภูมิสูงพอที่จะแคลไซน์ยิปซัมไปเป็นแคลเซียมซัลเฟตอัลฟา เฮมิไฮเดรต และรักษาสเลอร์รีไว้ที่อุณหภูมดังกล่าวจนกระทั่งแคลเซียมซัลเฟตอัลฟาเฮมิไฮเดรตอย่างน้อยบางส่วนเกิดการตกผลึกส่วนใหญ่ในและรอบ ๆ ช่องว่าวในอนุภาคถูกอาศัย; การถ่านสเลอร์รีร้อนลงบนพื้นผิวขึ้นรูปพรุนและกำจดัน้ำส่วนใหญ่ออกจากสเลอร์รีร้อนเพื่อทำเป็นเค้กกรอง; การอัดเค้กกรองเพื่อทำให้เป็นแผ่นและกำจัดน้ำเพิ่มเติมออกจากแผ่นเค้กกรองก่อนที่อุณหภูมิของแผ่นเค้กกรองจะลดลงต่ำก่าอุณหภูมิที่แคลเซียมซัลเฟตเฮมิโฮเดรตจะไฮเดรตซ้ำไปเป็นยิปซัม; การลดความร้อนของแผ่นเค้กกรองให้ต่ำกว่าอุณหภูมิการไฮเดรชันซ้ำ และปล่อยให้แคลเซียมซัลเฟตเฮมิไฮเดรตไฮเดรตซ้ำไปเผป็นยิปซัม และการอบแห้งแผ่นเค้กกรองเพื่อกำจัดน้ำอิสระที่เหลือออก 1

8. กรรมวิธีตามข้อถือสิทธิที่ 17 โดยที่อนุภาคถูกอาศัยคือใยไม้ โดยมักนิยมให้ปริมาณของแข็งในสเลอร์รีมีค่าอยู่ระหว่าง 10-20% โดยน้ำหนักของใยไม้ 1

9. กรรมวิธีตามข้อถือสิทธิที่ 17 โดยที่สเลอร์รีเจือจางประกอบด้วยน้ำอย่างน้อยประมาณ 40-95% โดยน้ำหนัก โดยมักนิยมให้มีน้ำ 70-90% โดยน้ำหนัก และโดยนิยมแล้วสเลอร์รีจะถูกทำให้รอ้นในภาชนะอัดไอจนมีอุณหภูมิอยู่ระหว่างประมาณ285 องศา ฟ (140 องศา ซ.) และ 305 องศา ฟ (152 องศา ซ.) 2

0. กรรมวิธีตามข้อถือสิทธิข้อใดข้อหนึ่งตั้งแต่ข้อ 17 ถึง 19 โดยที่อุณหภูมของสเลอร์รีร้อนถูกรักษาไว้ที่ประมาณสูงกว่า 200 องศา ฟ (93 องศา ซ) จนกระทั่งสเลอร์รีร้อนส่วนใหญ่ถูกกำจัดน้ำออกและถุกอัดเปียกเป็นแผ่น แผ่นที่เกิดขึ้นโดยการอัดเค้กกรองที่ร้อนมักนิยมทำการลดความร้อนจนมีอุณหภูมประมาณ 120 องศา (49 องศา ซ) เพื่อให้เกิดการไอเดรตชันซ้ำของแคลเซียมซัลเฟตเฮมิไฮเดรตก่อนจะถูกอบแห้งในตอนท้ายสุด และโดยนิยมแล้วมักทำการอัดเค้กกรองที่ขจัดน้ำออกแล้วให้เป็นแผ่น ซึ่งภายหลังการไฮเดรชันและกาดรอบแห้งจะมีความหนาแน่นอยู่ระหว่าง 40-50ปอนด์ต่อลูกบาศก์ฟุต (642-802กิโลกรัม/ลบ.ม.)